วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การทำสัตยาบัน “อัลอะกอบะฮ์”




 
การทำสัตยาบัน “อัลอะกอบะฮ์”

ครั้งที่หนึ่ง
          การศรัทธาได้มีอยู่เต็มหัวใจของกลุ่มคนจากเผ่า “ค็อซร็อจญ์”ทั้งหกคน สร้างความสงบสุข และความพึงพอใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติยินดี เนื่องจากความหวังที่จะให้เกิดความสันติสุขในหมู่พี่น้องจากเผ่า “เอ๊าซ์”  จึงทำให้พวกเขาพูดถึงอิสลามและประกาศเชิญชวนให้ชาวเมือง “ ยัษริบ” เข้ารับอิสลาม จนกระทั่งวงสนทนาของเผ่า “เอ๊าซ์” และ “ค็อซร็อจญ์” มีแต่การพูดถึงอิสลาม และกล่าวขวัญถึงอิสลามอยู่ไม่ขาดปากในทุกๆบ้าน และการเชิญชวนของพวกเขาได้ส่งผลให้ผู้คนเข้ารับอิสลามจนเป็นที่น่ายินดี
          เมื่อเทศกาลฮัจญ์ได้มาถึงในปีต่อมา ชาวเมืองยัษริบจำนวน 12 คนได้มาทำฮัจญ์  เป็นชาวเผ่า “ค็อซร็อจญ์” 10 คน เป็นชาวเผ่า “เอ๊าซฺ” 2 คน   พวกเขาได้พบกับท่านเราะซูล ที่ “ อัลอะกอบะฮ์ ” เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ที่มีนา พวกเขาได้ทำสัตยาบันกับท่านเราะซูล  ในการที่จะยึดมั่นอยู่กับบทบัญญัติของอิสลาม จริยธรรม ตลอดจนการภักดีต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ภักดีต่อเราะซูลของพระองค์ แต่การทำสัตยาบันในครั้งนั้น  มิได้ระบุว่าจะต้องให้ที่พักพิงหรือให้การอุปถัมภ์คุ้มกันการเผยแพร่ศาสนาของท่านนะบีมุฮัมมัดแต่อย่างใด  อุบาดะฮ์ บิน อัซซอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าววว่า :
          “พวกเราได้ทำสัตยาบันกับท่านเราะซูล ในการที่เราจะไม่ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  เราจะไม่ลักขโมย  เราจะไม่ละเมิดทางเพศ(ทำซินา)  เราจะไม่สังหารลูกๆของพวกเรา  เราจะไม่กุความเท็จขึ้น และเราจะไม่ฝ่าฝืนท่านนะบี ในเรื่องที่เป็นคุณธรรม” (*1*) 
          เมื่อการทำฮัจญ์ได้เสร็จสิ้นลง ท่านเราะซูล จึงได้ส่ง มุศอับ บิน อุมัยร์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ  เพื่อไปทำหน้าที่สอนบทบัญญัติอิสลาม ตลอดจนสอนอัลกุรอานให้พวกเขาได้เป็นอิมามนำละหมาดหมู่พวกเขาเอง
          มุศอับ บิน อุมัยร์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รับความสำเร็จในการทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ที่ได้รับคัดเลือกจากท่านเราะซูล ให้ไปทำหน้าที่นั้น มุศอับ บิน อุมัยร์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ  ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆในการเรียกร้องเชิญชวน  มิได้พูดจาหว่านล้อม หรือ ครอบงำผู้คนด้วยการให้สัญญา ให้ความหวังเกี่ยวกับชีวิตในโลกนี้  มุศอับ มิได้พกพากระสอบเงินหรือสมบัติใดๆไปแจกจ่ายให้คนยากคนจน เพื่อชักชวนพวกเขาโดยอาศัยความยากจน   เพราะการทำเช่นนั้นไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจ  และมิได้เข้าไปสู่ความต้องการด้วยความยอมรับอย่างจริงใจ   แต่ว่ามุศอับ เปี่ยมไปด้วยความศรัทธามั่นในการที่จะทำให้เกิดความสำเร็จในหน้าที่อันสูงส่ง ซึ่งใครก็ตามที่พบเห็นจะพบว่า มีแสงสว่างอยู่บนใบหน้าและการแสดงออกซึ่งความจริงจังในคำพูด มีความมุ่งมั่นแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในการเผยแพร่ศาสนา และเสียสละทุ่มเทเพื่อศาสนาอิสลามอีกด้วย มุศอับ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมาจากนครมักกะฮ์ ภายใต้การถูกกดขี่ และการบีบคั้นจากบรรดาผู้ปฏิเสธ สิ่งสำคัญคือ เขามีอัลกุรอานที่มั่นคงอยู่ในหัวใจ เมื่อมุศอับ ได้อ่านอัลกุรอานออกมา ผู้คนทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะห้ามหัวใจของพวกเขามิให้ตอบรับในสิ่งที่ได้ยินได้



ดร.อัดุลลอฮฺ  อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน




ที่มา  :  http://www.islammore.com/main/index.php

  1. เรื่องการทำสัตยาบัน ดูหนังสือ ซอฮีฮุลบุคอรี มนากิบุ้ลอันศ็อร บาบุ วุฟูดุ้ลอันศ็อร วะบัยอะตุ้ลอะกอบะฮฺ และซอฮีฮุมุสลิม กิตาบุ้ลฮุดูด บาบุ้ลฮุดูด กัฟฟารอต ลิอะฮฺลิฮา ซีเราะฮฺ อิบนุซิฮาม 39-41
  2. ซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม เล่ม 2 หน้า 46
  3. เรื่อง  การทำสัตยาบันที่-อัลอะกอบะฮฺ-ครั้งที่สองนี้  ให้ไปดูที่  หนังสือ สุนัน อัลบัยฮะกีย์ เล่ม 9 หน้า 9 หนังสือ อัลมุสตัดร็อก ของอัลฮากิม เล่ม 2 หน้า 624 หนังสือ ซีเราะฮฺ อันนะบะวียะฮฺ ของอิบนิ  กะซี๊ร เล่ม2 หน้า 193 และหนังสือ ฟัตฮุลบารีย์ ของ อิบนิ  ฮะญัร 2222 

ครั้งที่สอง
          เวลาเกือบหนึ่งปีที่เมือง “ยัษริบ” มุศอับ บิน อุมัยร์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ  ใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละในการทำหน้าที่ ไม่ท้อถอยในการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม  จนกระทั่งทุกบ้านของชาวอันศ็อรจากเผ่า “เอ๊าซ์” และ “ค็อซร็อจญ์” จะต้องมีชายหญิงที่เป็นมุสลิมอยู่ภายในบ้าน โดยเฉพาะหัวหน้าเผ่า และผู้อาวุโสของตระกูล(*2*) ไม่เพียงแต่อิสลามจะสร้างความสนิทชิดเชื้อให้กับทั้งสองตระกูล คือ “เอ๊าซ์” และ “ค็อซร็อจญ์” ขจัดความร้าวฉาน และการเข่นฆ่ากันจากทั้งสองเผ่า  อีกทั้งพวกเขายังได้ดำเนินวิถีชีวิตตามแนวทางของศาสนา จนทำให้เกิดความปลอดภัยในการเผยแพร่ และสนับสนุนศาสนฑูตของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าผลประโยชน์ของพวกเขาเอง สิ่งที่อยู่ในจิตสำนึกของชนเผ่าทั้งสอง พวกเขาได้รับรู้ถึงสภาพของท่านเราะซูล และบรรดาซอฮาบะฮ์ที่กำลังถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง  ดังที่ญาบิร บิน อับดิลลาฮ์ อัลอันซอรีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ  ได้พูดว่า  :
          “แล้วพวกเราจะปล่อยท่านเราะซูล ให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นไว้อีกนานสักเท่าใด        ขณะที่ท่านถูกขับไล่ไปอยู่ภูเขาที่มักกะฮ์ ? ช่างน่าเป็นห่วงเหลือเกิน! ...”   
          ในที่สุดพวกเขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะต้องเชิญท่านเราะซูล มาอยู่ที่ “ยัษริบ”  และให้การสนับสนุนท่าน  ช่วงก่อนที่จะถึงเทศกาลฮัจญ์  มุศอับ บิน อุมัยร์ ได้กลับมายังมักกะฮ์ และแจ้งข่าวดีต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ถึงผลสำเร็จที่ได้ทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย และแจ้งให้ท่านทราบว่า จะมีคณะจาก “ยัษริบ” ของผู้ที่เข้ารับอิสลามมาทำสัตยาบันกับท่านนะบี  คณะจาก “ยัษริบ”ได้ปกปิดเจตนารมณ์ในการมามักกะฮ์ไว้เป็นความลับ  เมื่อมาถึงนครมักกะฮ์จึงได้ติดต่อกับท่านเราะซูล อย่างลับๆ  ท่านนะบี ได้นัดพบกับพวกเขาในขณะที่บรรดาฮุจญ๊าจญ์กำลังยุ่งอยู่ในเรื่องทำฮัจญ์  พวกเขาอาศัยความมืดทยอยกันเข้ามาพบท่านเราะซูล จนครบหมดทุกคนที่ “อัลอะกอบะฮ์” ทั้งหมดมีจำนวน 73 คน  มีสุภาพสตรี 2 คน  จากการพูดคุยสนทนากันระหว่างบรรดามุสลิมชาวอันศ็อรกับท่านเราะซูลุลลอฮ ได้มีท่าน อัลอับบาส บิน อับดิลมุฏฏอลิบ ลุงของท่านนะบี ร่วมอยู่ด้วย  ทั้งๆ ที่ยังมิได้เข้ารับอิสลาม แต่เพื่อให้การรับรองแก่หลานชายและเป็นการค้ำประกันความมั่นคงให้แก่ท่านนะบีในการให้คำมั่นสัญญากับชาวอันศ็อร  ท่านเราะซูล ได้ทำสัตยาบันกับบรรดามุสลิมชาวอันศ็อรว่า  :  
          “ท่านทั้งหลาย ได้ทำสัตยาบันกับฉันในการที่จะเชื่อฟังและภักดีต่อฉันทั้งในยามสุขสบายและในยามทุกข์ยาก และจะเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันในเรื่องการใช้กันให้ทำดี  ห้ามปรามยับยั้งกันมิให้ทำความชั่ว และในการที่พวกท่านจะต้องพูดเรื่องของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยที่พวกท่านจะไม่เกรงกลัวการตำหนิติเตียนจากผู้ใดทั้งสิ้น และพวกท่านจะต้องให้การสนับสนุนฉัน(ท่านนบี) และปกป้องฉันในขณะที่ฉันอพยพไปยังพวกท่าน  เหมือนกับที่พวกท่านปกป้องตัวของพวกท่านเอง ตลอดจนบรรดาภรรยาและลูกๆของพวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะได้เข้าสวรรค์”  
          บรรดาชาวอันศ็อรต่างมีความปลื้ม ปิติยินดี ภายหลังจากที่ได้ให้คำสัตยาบัน ว่าจะดำเนินชีวิตตามรูปแบบของอิสลาม และเชื่อฟังศาสนทูตของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่พวกเขามิต้องการที่จะให้ข้อผูกมัดนี้มาจากฝ่ายเดียว  ดังนั้น  คนหนึ่งจึงได้ขึ้นพูดว่า :
          “โอ้ ท่านเราะซูลของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แท้จริงแล้ว   ในระหว่างพวกเรากับอีกหลายคนมีข้อผูกพันกันอยู่  และเราได้ตัดขาดพวกเขาแล้ว (หมายถึงพวกยิว) ท่านคิดหรือไม่ว่า หากเราได้ทำเช่นนี้ แล้วอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงให้ท่านได้รับชัยชนะ  แล้วท่านกลับไปยังกลุ่มชนของท่าน แล้วท่านจะปล่อยพวกเราไว้ใช่หรือไม่ ? ”    
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า :
          “มิใช่เช่นนั้นดอก เลือดก็เลือด พังก็พัง ฉันเป็นส่วนหนึ่งในพวกท่าน พวกท่านเป็นส่วนหนึ่งจากฉัน ฉันจะสู้รบกับพวกที่ท่านทำการสู้รบ และฉันจะประนีประนอมกับพวกที่พวกท่านประนีประนอม”  (*3*)
          คณะจาก “ ยัษริบ” ได้เดินทางกลับ  หลังจากที่ภาระหน้าที่อันสำคัญได้เสร็จสิ้นลง ด้วยการที่ได้ทำสัตยาบันกับท่านเราะซูล แล้วพวกเขาจึงรอคอยการอพยพของท่านนะบี และบรรดาซอฮาบะฮ์ อย่างใจจดใจจ่อ