วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์

ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์
          ท่านทราบไหมว่า อุมมุ ซะละมะห์คือใคร? บิดาของนางเป็นหัวหน้าเผ่า "บะนีมัคซูม" เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ใจบุญของชาวอาหรับ เป็นที่โจทย์ขานกันว่าเป็น "ซาดุรรอกิบ" หรือเสบียงแห่งกองคาราวาน เพราะเมื่อกองคาราวานใดที่แวะพักที่บ้านของเขาหรือมีเขาร่วมเดินทางไปด้วย ก็จะได้รับการบรรทุกเสบียงจนเต็มเปี่ยมสามีของนางคืออับดุลเลาะห์ บิน อับดิลอะซัด เป็นหนึ่งในจำนวนสิบคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดรับอิสลามก่อนเขา นอกจากท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊ก และอีกไม่กี่คนซึ่งมีจำนวนน้อยกว่านิ้วมือทั้งสองข้างเสียอีก
          ชื่อจริงของนางคือ "ฮินดฺ" และมีฉายานามว่า "อุมมุ ซะละมะห์" ต่อมาใครๆก็เรียกนางว่า อุมมุซะละมะห์ จนติดปาก
          อุมมุซะละมะฮฺเข้ารับอิสลามพร้อมกับสามี และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รับนับถือศาสนาอิสลามกลุ่มแรกเมื่อมีข่าวการรับนับถือศาสนาอิสลามของ อุมมุซะละมะห์และสามีแพร่สะพัดออกไปพวกกุเรชก็เริ่มคัดค้าน กลั่นแกล้ง รังแก ซึ่งหากจะเปรียบเทียบนางเป็นเช่นหินผา ก็คงต้องแตกกระจายเพราะไม่สามารถทนทานได้ ทั้งนี้ก็เพราะชาวกุเรชไม่ต้องการให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น แต่ความเดือดร้อนนั้นก็หาได้ทำให้ทั้งสองสะทกสะท้านไม่
          เมื่อพวกกุเรชทวีความรุนแรงหนักข้อยิ่งขึ้น ท่านร่อซูล จึงอนุมัติให้บรรดาศอหะบะห์อพยพไปยัง "ฮะบะชะห์" หรือเอธิโอเปียในปัจจุบันนี้ และอุมมุซะละมะห์กับสามีก็ได้ร่วมอพยพไปด้วย
          ทั้งสองต้องอพยพไปอยู่ในดินแดนของคนแปลกหน้าต้องละทิ้งบ้านเรือนใหญ่โตรโหฐานที่มักกะห์ ทิ้งเกียรติยศอันสูงส่งและตระกูลที่ประเสริฐไว้เบื้องหลัง เพราะต้องการรางวัลตอบแทนจากอัลเลาะห์ ต้องการเป็นที่พอพระทัยของอัลเลาะห์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าทั้งสองจะได้รับการคุ้มครองจากท่าน "นะญาซีย์" กษัตริย์แห่งเมืองฮะบะซะห์ในขณะนั้นก็ตาม (ขออัลเลาะห์ทรงโปรดปรานเขาในสรวงสวรรค์ด้วยเทอญ) แต่พวกเขาก็ยังคงคิดถึง "มักกะห์" ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อัลเลาะห์ทรงประทาน "วะฮีย์" ลงมาและเป็นสถานที่ที่ท่านรอซูล พำนักอยู่ ซึ่งตัวของนางและสามีได้รับแนวทางอันถูกต้องเอาไว้
          ต่อมาบรรดามุสลิมที่อพยพมาอยู่เมือง "ฮะบะชะห์" ได้รับข่าวว่ามีมุสลิมจำนวนมากยิ่งขึ้นในมักกะห์และแน่นอนเหลือเกินในการเข้ารับอิสลามของท่าน "ฮัมซะห์ บิน อับดุลมุฎฎอลิบ" และท่าน "อุมัร อิบนิลค็อฎฎ็อบ" นั้นจะต้องเพิ่มความเข้มแข็งให้พวกเขา และยับยั้งพวก กุเรชให้เลิกรังแกลงได้แน่ๆ ดังนั้นจึงมีกลุ่มหนึ่งกลับมา "มักกะห์" ด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนเป็นที่สุด พวกเขาอยากจะกลับมาอยู่ใกล้ชิดกับท่านรอซูล และ อุมมุซะละมะห์และสามีก็ได้เดินทางกลับมาด้วย
          ครั้นเมื่อมาถึง "มักกะห์" สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาทำให้เห็นว่าข้อมูลจากข่าวที่ได้รับนั้นไม่เป็นความจริง เพราะการตื่นตัวของพี่น้องมุสลิมภายหลังจากที่ท่านฮัมซะห์ และท่านอุมัร เข้ารับอิสลามนั้นยิ่งทำให้พวกกุเรชกลั่นแกล้งมุสลิมหนักข้อยิ่งขึ้นอีก
          พวกมุชริกีนยิ่งก่อเหตุวุ่นวาย ด้วยการจับมุสลิมไปทรมานเขย่าขวัญรังแกทำร้ายต่างๆนานา ชนิดที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อนเลย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นท่านรอซูล จึงอนุมัติให้บรรดาศอหะบะห์ของท่านอพยพไป "มะดีนะห์" อุมมุซะละมะห์และสามีต่างก็ตั้งใจเด็ดเดี่ยว ว่าจะต้องอพยพอีกครั้งเพื่อให้พ้นศาสนาดั้งเดิมและเพื่อให้พ้นจากการคุกคามของพวกกุเรช
          การอพยพของอุมุซะละมะห์และสามีไม่สะดวกง่ายดายอย่างที่คิด แต่มันลำบากยากเย็น ขมขื่นต้องประสบกับความชั่วร้ายนานับประการ ซึ่งในเรื่องนี้เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ "อุมมุ ซะละมะห์" เป็นผู้เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับนางด้วยตนเอง เพราะนางมีความรู้สึกอันล้ำลึก และมีมโนภาพที่ละเอียดอ่อนต่อเหตุการณ์ที่ประสบมากับนางเอง
นางได้เล่าไว้ว่า :
          เมื่อบิดาของซะละมะห์ คือสามีของนางมั่นใจว่าจะต้องออกเดินทางไปมะดีนะห์เขาจึงตระเตรียมอูฐตัวหนึ่งไว้สำหรับฉัน เขาส่งฉันกับลูกซะละมะห์ขึ้นหลังอูฐ และเขาก็ออกเดินจูงอูฐไปเรื่อยๆ โดยไม่เหลียวหลัง แต่ก่อนที่เราจะออกไปพ้นเขตมักกะห์ เรามองเห็นชายฉกรรจ์ หลายคนซึ่งมาจากเผ่าของฉันคือ "บนีมัคซูม" พวกเขาขัดขวางเราไว้และอบูซะละมะฮฺก็พูดขึ้นว่า :

         แม้ว่าตัวของเจ้าจะชนะเรา แต่มันเป็นกงการอะไรของเจ้ากับผู้หญิงผู้นี้ด้วยเล่า?
พวกเขาตอบว่า :

          นางเป็นลูกของเรา เหตุไฉนเราจะปล่อยให้เจ้านำพานางไปจากเรา เพื่อออกเดินทางไปต่างแดน?
          และแล้วพวกนั้นก็กระโดดเข้ามาหาเขา (สามีของอุมมุซะละมะห์ ) และแย่งชิงฉันไปจากเขา ส่วนพรรคพวกสามีของฉัน คือ "บนีอับดิลอะซัด" เมื่อทราบข่าวว่า "บนีมัคซูม" จับตัวฉันและบุตรไปแล้ว พวกเขาก็โกรธมาก และกล่าวสาบานว่า :

         ด้วยพระนามของอัลเลาะห์ เราจะไม่ปล่อยให้เจ้า เด็กน้อย (หมายถึง ซะละมะห์) อยู่กับมารดาของเขา(หมายถึงอุมมุซะละมะฮฺ) ซึ่งเป็นพวกของเจ้าหลังจากที่พวกเจ้ายื้อแย่งนางไปจากพวกของเรา ดังนั้นซะละมะห์คือลูกของเรา พวกเรามีสิทธิ์ในตัวเขายิ่งกว่าผู้อื่น
          และแล้วพวก "บนีอับดิลอะซัด" ก็ลากเอาลูกของฉันไปกับเขา ในที่สุดพวกเขาก็แกะมือของลูกซะละมะห์ ออกจากอ้อมอกของฉัน และพาเอาตัวไปต่อหน้าต่อตา
          ขณะนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียว สามีต้องเดินมุ่งหน้าไปสู่มะดีนะห์ เขาทิ้งศาสนาดั่งเดิมและละทิ้งคู่ชีวิตของเขาไป ส่วนลูกก็ถูก "บนูอับดิลอะซัด" แย่งเอาไปแล้ว สำหรับตัวฉันเองนั้น "บนูมัคซูม" เป็นผู้คุ้มครองดูแลให้อยู่ในความอุปการะของพวกเขา
          ณ บัดนี้ตัวฉัน สามี และลูกต้องพลัดพรากจากกัน และหลังจากที่เหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ฉันจะออกไปที่ "อับตอฮฺ" ทุกวันและจะนั่งอยู่ตรงที่เกิดเหตุร้ายทบทวนถึงความหลัง ฉัน ลูก สามี ที่จำต้องระหกระเหินกันไปคนละทางสองทาง ฉันจะนั่งร้องไห้อยู่ ณ ที่นั่นจนพลบค่ำ เป็นอยู่เช่นนั้นจนเกือบหนึ่งปีเต็ม

          จนกระทั่งมีชายผู้หนึ่งจากเผ่าของอาของฉันผ่านมาพบเข้า เขาเห็นใจและสงสารฉันมาก เขาจึงบอกแก่เผ่าของฉันว่า :
          สมควรที่ท่านจะปล่อยหญิงที่น่าสงสารผู้นี้เสียเถิด พวกท่านพรากนางจากสามีและลูกของนาง
          แล้วเขาได้พูดขอความเห็นใจ ขอความเมตตาสงสาร จนกระทั่งเผ่าของฉันเอ่ยขึ้นกับฉันว่า :
          ถ้าหากเธอยังต้องการจะติดตามสามีอยู่อีก ก็ไปซิ
          แต่ฉันจะไปพบสามีโดยทอดทิ้งสายโลหิตไว้กับเผ่า "บนีอับดิลอะซัด" ที่มักกะห์ได้อย่างไร? ความทนทุกข์ทรมานจะยุติลงได้ละหรือ? หยาดน้ำตาจะเหือดแห้งได้อย่างไร? ฉันจะอพยพติดตามสามีโดยปล่อยลูกน้อยไว้ในมักกะห์ โดยไม่ทราบข่าวคราวเลยกระนั้นหรือ? มีพี่น้องบางคนเห็นว่าสมควรให้ฉันพ้นจากความโศรกเศร้าเสียที จิตใจของเขาปวดร้าวเมื่อเห็น สภาพของฉัน พวกเขาจึงเจรจากับ "บนีอับดิลอะซัด" ขอร้องให้สงสารฉันบ้าง ในที่สุดพวกนั้นก็ยอมส่งลูกของฉันกลับคืนมา
          ฉันไม่ปรารถนาจะหาใครสักคนที่มักกะห์เป็นเพื่อนเดินทางอพยพเพราะกลัวว่าจะเกิดสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในเรื่องติดตามสามีได้ ดังนั้นฉันจึงเตรียมอูฐและนำลูกน้อยไป กับฉันด้วย เสร็จแล้วจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปมะดีนะห์ ปรารถนาจะได้พบสามีทั้งๆที่ไม่มีใคร ร่วมเดินทางไปด้วยแม้แต่คนเดียว

    ครั้นมาถึง "ตะนะอีม" (ปัจจุบันอยู่ห่างมักกะห์ประมาณสามไมล์) ก็พบ อุสมาน อิบนิ ฎอลละห์ (เป็นผู้ดูแลบัยตุลเลาะห์ในสมัยญาฮิลียะห์ เข้ารับอิสลามพร้อมกับท่านคอลิด อิบนิลวะลีด และเข้าร่วมรบในศึกเปิดเมืองมักกะห์ ท่านรอซูล ได้มอบกุญแจกะบะห์ให้ และในวันที่เขาพบกับอุมมุซะละมะห์นั้น เขายังเป็นมุชริกอยู่) เขาถามฉันว่า :
          จะไปไหนหรือ? โอ้บุตรสาวของ "ซาดิรฺรอกิบ"? (หมายถึงหัวหน้าเผ่าบนีมัคซูมซึ่งเป็นบิดาของนาง)
ฉันตอบว่า :
           ต้องการจะไปพบสามีที่มะดีนะห์
เขาถามฉันอีกว่า :
          ไม่มีใครสักคนหนึ่งร่วมเดินทางไปกับเธอด้วยหรือ?
ฉันตอบว่า :
          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ไม่มีใครเลย มีแต่อัลเลาะห์และลูกน้อยของฉันนี้เท่านั้น
เขาจึงพูดขึ้นว่า :
         ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดินทางไปมะดีนะห์โดยลำพัง เป็นอันขาด
พลางเขาก็จับเชือกอูฐพาฉันออกเดินทางไปโดยเร็ว อุมมุซะละมะห์ เล่าว่า :
          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ไม่มีเพื่อนชาวอาหรับผู้ใดที่มีเกียรติและ ประเสริฐยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว จะไม่ให้ฉันพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะยามใดที่ต้องหยุดพัก เขาจะให้อูฐของฉันคุกเข่าลง และตัวของเขาเองก็จะออกไปอยู่ห่างๆ จนกระทั่งฉันลงจากหลังอูฐ เสร็จแล้วเขาก็จะเข้ามาเอาที่พักบนหลังอูฐลง และจูงอูฐไปผูกไว้กับต้นไม้ ส่วนตัวเขาจะอาศัยใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างฉันออกไป เมื่อได้เวลาต้องออกเดินทางเขาก็ลุกขึ้นเดินทางต่อไป เขาจูงมันมาหาฉัน และเดินออกไปห่างๆ พร้อมกับบอกกับ ฉันว่า : "ขึ้นอูฐเถิด" เมื่อฉันขึ้นบนอูฐและนั่งบนหลังมันเสร็จเรียบร้อย เขาก็จะเดินทางเข้า มาคว้าเชือกอูฐจูงต่อไป เขาปฎิบัติต่อฉันเช่นนั้นเป็นประจำทุกวัน จนเรามาถึง "มะดีนะห์" เมื่อเขาแลเห็นตำบลหนึ่งที่ "กุบาอฺ" (ตำบลหนึ่งอยู่ห่างมะดีนะห์ประมาณสองไมล์) ซึ่งเป็นสถานที่ของเผ่า "บนีอัมรฺ อิบนิ เอ๊าฟฺ" เขาบอกฉันว่า :
          สามีของเธออยู่ตำบลนี้แหละจงเข้าไปหาเขาที่นั่นด้วยความศิริมงคลของอัลเลาะห์เถิด แล้วเขาก็ผินหลังกลับมุ่งสู่มักกะห์ทันที
          ณ บัดนี้ คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด อันได้แก่ครอบครัวของ "อุมมุ ซะละมะห์" ก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันเป็นเวลานาน มารดาของ "ซะละมะฮฺ" มีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับสามี และบิดาของ "ซะละมะห์" ก็มีความสุขที่ได้พบกับภรรยและบุตร
         แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปยังไม่ทันไร ก็มีเหตุทำให้ต้องพลัดพราดจากกันอีก นั่นก็คือสงคราม"บะดัร" ซึ่งอบูซะละมะห์ได้เข้าร่วมรบด้วย และก็นำชัยชนะอย่างเด็ดขาดกลับมาพร้อมกับพี่น้องมุสลิม

        สงครามอุฮุด อบูซะละมะห์ได้ถูกทดสอบอย่างงดงามและมีเกียรติอีกครั้งหนึ่งแต่ศึกครั้งนี้เขาได้รับบาดแผลฉกรรจ์ และเขาได้เยียวยารักษาแผลนั้น หากดูเผินๆแล้วก็เหมือนกับว่าเกือบจะหายแล้ว แต่ความจริงบาดแผลภายในยังเป็นอันตรายอยู่ จึงทำให้เขาต้องนอนป่วยอยู่เช่นนั้น ครั้งหนึ่งขณะที่อบูซะละมะห์กำลังได้รับการเยียวยาบาดแผล อยู่นั้นเขาได้กล่าวกับภรรยาว่า :
          อุมมุซะละมะห์เอ๋ย ฉันได้ยินท่านรอซูล กล่าวว่า ความทุกข์ยากจะ ไม่เกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใด หากขณะที่เขาประสบนั้นเขาจะกล่าวว่า ;
          แน่นอนเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะห์ และแน่นอนเราต้องกลับไปยังพระองค์ และกล่าวดุอาอฺว่า ;
          โอ้อัลเลาะห์ ข้าพระองค์คิดว่าความทุกข์ยากนี้มาจากพระองค์ โอ้อัลเลาะห์ โปรดให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปที่ดีกว่าความทุกข์ยากนี้ด้วยเทอญ
หากใครวิงวอนเช่นนี้อัลเลาะห์ ก็จะทรงรับคำวิงวอนของเขา


          อบูซะละมะห์ยังคงนอนป่วยอยู่หลายวัน จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ท่านรอซูล มาเยี่ยมและเมื่อท่านลุกขึ้นกลับไป ยังไม่ทันจะพ้นประตูบ้าน อบูซะละมะห์ก็สิ้นชีวิต ท่านนบี ปิดนัยน์ตาทั้งสองข้างด้วยมือทั้งสอง อันประเสริฐของท่านให้แก่อบูซะละมะห์ ท่านเหลือบตาสู่เบื้องบนและกล่าวว่า :
          ขออัลลอฮฺ ทรงโปรดยกโทษให้แก่อบีซะละมะห์ และขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาได้อยู่ในสวนสวรรค์พร้อมกับผู้ใกล้ชิดพระองค์ และขอพระองค์ทรงให้ผู้ที่เขาทอดทิ้งอยู่เบื้องหลังได้มีผู้มาแทนเขา เพื่อดูแลลูกและภรรยาของเขาเหมือนแต่ก่อนด้วยเถิด โอ้พระเจ้าของโลกทั้งผอง ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้พวกเราและอบูซะละมะห์ด้วยเถิด ขอให้กุโบรของเขากว้างขวางมีแสงสว่างด้วยเถิด
          อุมมุซะละมะห์นึกทบทวนคำที่สามีได้บอกแก่นาง ซึ่งเป็นคำพูดของ ท่านรอซูล และกล่าวว่า :
          โอ้อัลเลาะห์ นับว่าความทุกข์ยากของฉันนี้มาจากพระองค์           แต่นางไม่สามารถทำใจให้กล่าวอีกได้ว่า :
          โอ้อัลลอฮฺ โปรดตอบแทนสิ่งที่ดียิ่งกว่าความทุกข์ยากนี้แก่ฉันด้วย           ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางตั้งคำถามเสมอว่า :
          ยังมีใครอีกหรือที่จะเป็นคนดียิ่งกว่าอบูซะละมะห์?
          แต่นางก็ต้องอ้อมแอ้มกล่าวดุอาอฺต่อไปจนจบ
          บรรดาพี่น้องมุสลิมต่างเศร้าใจต่อเหตุการณ์ที่มาประสบกับอุมมุซะละมะห์ เพราะไม่เคยมีความ โศกเศร้าเช่นนี้ให้แก่ความทุกข์ยากของใครมาก่อนเลย พวกเขาขนานนามอุมมุซะละมะห์ ว่า "อัยยิมุลอฺะรอบีย์" หรือ "สตรีที่พลาดโอกาสในตัวสามี" เพราะนางไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในมะดีนะห์ นอกจากเด็กน้อยคนเดียวซึ่งมีสภาพคล้ายกับลูกไก่ตัวเล็กๆเท่านั้น
          ชาวมุฮาญิรีนและอันซ้อรต่างก็ตระหนักดีถึงสิทธิ์ของอุมมุซะละมะห์ ซึ่งจำเป็นที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ และเกือบไม่ทันจะหายจากความเศร้าโศกที่นางต้องสูญเสีย อบีซะละมะห์ผู้เป็นสามี ท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊กก็เสนอตัวสู่ขอนางให้กับตัวเอง แต่นางก็ไม่ตอบรับความประสงค์ของท่าน หลังจากนั้นท่านอุมัร ก็มาสู่ขอนางอีก และนางก็ปฎิเสธอีกเช่นกัน
          ต่อมาท่านร่อซูล ได้เสนอตัวสู่ขอนางแต่นางได้บอกกับท่านว่า :
          โอ้ท่านร่อซูลของอัลเลาะห์ ฉันยังมีอุปสรรค์อยู่สามประการคือ ฉันเป็นหญิงที่มีความหึงหวงมากเกรงว่าท่านจะพบสิ่งไม่ดีงามอันจะทำให้ท่านโกรธกริ้ว และอัลเลาะห์จะทรงเอาโทษฉัน ประการที่สอง ฉันเป็นหญิงที่ผ่านการมีชีวิตสมรสมาแล้ว และประการที่สาม ฉันเป็นหญิงมีลูกติด
ท่านรอซูล ตอบว่า:
          ที่เธอบอกว่าเธอเป็นคนมีความหึงหวงมากนั้น ฉันขอดุอาอฺต่ออัลเลาะห์ให้มันหายไปจากเธอ และที่เธอบอกว่าเคยผ่านการมีคู่ครองมาแล้วนั้น ฉันเองก็มีสภาพเช่นเดียวกับเธอ และที่บอกว่าเธอมีลูกติดนั้นลูกของเธอก็คือลูกของฉัน
          ในที่สุดท่านรอซูล ก็สมรสกับ "อุมมุซะละมะห์" ซึ่งอัลเลาะห์ทรงรับดุอาอฺของนาง และให้เธอมีคู่ชีวิตที่ดีกว่า "อบีซะละมะห์" ผู้ที่จากไป
          นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา "ฮินดฺ อัลมัคซูมียะห์" ไม่ได้เป็นเพียงมารดาของซะละมะห์คนเดียวเท่านั้น หากแต่นางยังเป็นมารดาของมุอฺมินทุกคนอีกด้วย

          ขออัลเลาะห์โปรดประทานความดีงามให้แก่อุมมุซะละมะห์ในสรวงสวรรค์ด้วยเถิด ขออัลเลาะห์ทรงพอพระทัยนางด้วย

ที่มา : หนังสือประวัติซอฮาบะห์      เผยแพร่โดย สายสัมพันธ์