วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จุดยืนของท่านนบีมุฮัมหมัด ต่อการทดสอบต่างๆ

จุดยืนของท่านนบีมุฮัมหมัด ต่อการทดสอบต่างๆ
          ท่านเราะซูล มีท่าทีที่เข้มแข็งสมกับสาส์นอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้รับ ในขณะที่ท่านและบรรดาซอฮาบะฮ์ต้องประสบกับการทดสอบนานาชนิด ซึ่งถือได้ว่าเป็นบทเรียนอันล้ำค่า
          ท่านได้ฝึกฝนการศรัทธาที่เข้มแข็งให้แก่บรรดาซอฮาบะฮ์ ทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแน่วแน่มั่นคงและยอมรับการทดสอบต่างๆ ท่านได้เพาะปลูกหลักการศรัทธาฝังรากลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา ท่านนะบี ไปพบกับพวกเขาอย่างลับๆเพื่อสอนอัลกุรอาน และบทบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า
          ท่านสร้างสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับพระผู้เป็นเจ้าด้วยการตื่นขึ้นมาในช่วงครึ่งคืนทำการละหมาดกับพวกเขา ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาแห่งดำรัสของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า :
          โอ้ผู้ที่คลุมกายอยู่
จงลุกขึ้น(ละหมาด)ในตอนกลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คือในครึ่งหนึ่งของกลางคืนหรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อย
หรือมากกว่านั้น และจงอ่านอัลกุรอานช้าๆเป็นจังหวะ (ชัดถ้อยชัดคำ)
(อัลมุซซัมมิล 73 : 1-4)
          พวกเขาปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นเวลาถึงหนึ่งปีจนกระทั่งเท้าบวม อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  จึงได้ทรงผ่อนปรนให้กับพวกเขา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
         
          และอัลลอฮฺทรงกำหนดเวลากลางคืนและกลางวัน พระองค์ทรงรู้ดีว่าพวกเจ้าไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงผ่อนผันให้แก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านอัลกุรอานตามแต่สะดวกเถิด พระองค์ทรงรู้ดีว่าอาจมีบางคนในหมู่พวกเจ้าเป็นคนป่วย และบางคนอื่น ๆ ต้องเดินทางไปดินแดนอื่น เพื่อแสวงหาจากความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และบางคนอื่นต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านตามสะดวกจากอัลกุรอานเถิด และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจงบริจาคซะกาต  และจงให้อัลลอฮฺยืมอย่างดีเยี่ยมเถิด และความดีอันใดที่พวกเจ้าได้กระทำไว้เพื่อตัวของพวกเจ้าเองพวกเจ้าก็จะพบมัน ณ ที่อัลลอฮฺ ซึ่งเป็นความดีและผลตอบแทนก็ยิ่งใหญ่กว่า  ดังนั้นพวกเจ้าจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ 
(อัลมุซซัมมิล 73 : 20 )
          การลุกขึ้นละหมาดในยามค่ำคืน มีผลอย่างยิ่งต่อการตระเตรียมคน เพื่อแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่มีความสำคัญต่อไปในอนาคต และนี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกล่าวถึงในการให้คำแนะนำแก่นะบีของพระองค์ที่ว่า :
          แท้จริง เรา(อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) จะให้วะฮีย์เป็นถ้อยคำอันหนักหน่วงแก่เจ้า(มุฮัมมัด)
แท้จริงการตื่นขึ้นในเวลากลางคืนนั้น เป็นเวลาที่น่าประทับใจยิ่ง และเป็นการอ่านที่ชัดเจนยิ่งนัก
( อัลมุซซัมมิล  73 : 5-6)
 
          ด้วยกับการฝึกอบรมที่เข้มข้น ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นแก่ทุกคนที่ประสบกับผู้ที่ต่อต้านขัดขวางในการทำหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในทุกๆเวลา และทุกๆสถานที่ และยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนที่ต้องการจะค้นหาตัวเองเพื่อให้ผ่านการทดสอบต่างๆของโลกดุนยาและความใคร่ใฝ่ต่ำ
          อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงใช้นะบี ให้มีความอดทนต่อสิ่งที่ได้ประสบในการทำหน้าที่เชิญชวนสู่อิสลาม ไม่ว่าจะเป็นการเย้ยหยันและการทำร้ายต่างๆนานา
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
          และ(มุฮัมมัด) จงอดทนต่อสิ่งที่พวกเขาพูด และจงแยกตัวออกจากพวกเขาด้วยการแยกตัวอย่างดีงาม สุภาพอ่อนโยน                          (อัลมุซซัมมิล 73 : 10 )
          ท่านเราะซูล ได้เตือนบรรดาซอฮาบะฮ์ให้อดทนต่อสิ่งที่มาประสบ ไม่ว่าจะเป็นการทรมาน หรือการทดสอบต่างๆ และสัญญาว่าจะได้รับสวนสวรรค์เป็นการตอบแทน อันเนื่องมาจากความอดทนและการยืนหยัดนั่นเอง
ท่านเราะซูล ได้เดินผ่านครอบครัวของยาซิร ขณะที่กำลังถูกทรมาน  ท่านกล่าวว่า :
( اصبروا آل ياسر فإن موعدكم الجنة )
          “ครอบครัวของยาซิรเอ๋ย จงอดทนเถิด เพราะสัญญาของพวกท่านคือสวรรค์” (*1*)         (บันทึกโดย อัฎฎ็อบรอนีย์)  

          ค็อบบ๊าบ บิน อัลอะร็อต และซอฮาบะฮ์ได้มาหาท่านเราะซูล ร้องขอให้ท่านวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้พวกเขาได้รับการผ่อนปรนจากการถูกลงฑัณฑ์ด้วยเถิด  ใบหน้าของท่านนะบีได้เปลี่ยนสีทันที และท่านได้กล่าวว่า :
لقد كان من قبلكم يحفر له حفرة ويجاء بالمنشار ، فيوضع على رأسه ، فيشق ، ما يصرفه عن دينه ، ويمشط بأمشاط من الحديد ما دون عظمه من لحم أو عصب ، ما يصرفه عن دينه
          “แท้จริง คนรุ่นก่อนพวกท่าน เคยถูกขุดหลุมฝัง และถูกเลื่อยด้วยเลื่อยตั้งแต่บนศีรษะของเขาลงมา แต่ก็ยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนศาสนาของเขา และเคยถูกคราดด้วยคราดเหล็กจนเนื้อหลุดออกจากกระดูก หรือประสาทเสีย  แต่เขายังไม่ยอมเลิกจากการนับถือศาสนาของเขา...”  (*2*)
          ครั้นเมื่อท่านนะบี เห็นว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ ได้รับอันตรายมากขึ้น จนบางคนถึงกับเสียชีวิต ท่านจึงให้คนที่มีความสามารถอพยพไปยังดินแดนเอธิโอเปีย หรือ อบิสซิเนีย โดยท่านกล่าวว่า :
" إن بأرض الحبشة ملكا لا يظلم عنده أحد ، فالحقوا ببلاده حتى يجعل الله لكم فرجا ومخرجا مما أنتم فيه "
          “แท้จริงที่ดินแดนอบิสซิเนีย ยังมีกษัตริย์องค์หนึ่ง ไม่มีผู้ใดถูกอธรรมจากกษัตริย์องค์นั้น ฉะนั้น พวกท่านทั้งหลายจงไปยังดินแดนของเขากันเถิด เพื่อว่าอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงให้พ้นภัย และรอดพ้นจากสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายกำลังประสบอยู่นี้”
          ได้มีซอฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งเดินทางอพยพไปยังอบิสซิเนีย(เอธิโอเปีย) ซึ่งเป็นการอพยพครั้งแรก มีผู้ชาย 12 คน และหญิง 4 คน พวกเขาได้พักอยู่ที่นั่นหลายเดือน และได้เดินทางกลับสู่นครมักกะฮ์ โดยคิดว่าความรุนแรงจากชาวกุเรชนั้นได้ทุเลาลดลงแล้ว แต่กลับพบว่าพวกกุเรชได้กระทำความเลวร้ายและรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ท่านนะบี จึงได้อนุญาตให้พวกเขาอพยพกลับไปอบิสซิเนียอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจึงได้อพยพและมีจำนวนมากกว่าครั้งแรกโดยมีผู้ชาย 83 คนและผู้หญิง 18 คน ทั้งหมดได้พบกับความปลอดภัยและความอบอุ่นใจในดินแดนแห่งนั้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกกุเรชได้พยายามหว่านล้อมกษัตริย์แห่งอบิสซิเนีย เพื่อให้ส่งพวกเขากลับคืนสู่นครมักกะฮ์นั้นต้องล้มเหลวไปในที่สุด  (*3*)
          ด้วยกับการฝึกฝนอบรมหลักการศรัทธา และการแนะนำที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ทำให้ท่านเราะซูล และบรรดาซอฮาบะฮ์ได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในการเผยแพร่ศาสนา ณ นครมักกะฮ์ ได้อย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงให้ทางออก โดยให้ท่านนะบี อพยพสู่นครมะดีนะฮ์
 
ดร.อัดุลลอฮฺ  อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน

ที่มา : http://www.islammore.com/