วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คอลีฟะห์อุมัร อิบนุ คอฏฏอบ (ฮ.ศ.13-23)

ประวัติ
คอลีฟะห์อุมัร เป็นบุตรของอัลคอฏฏอบ บุตรของนุไฟอฺ มีฉายานามว่า อัลฟารุก ( ผู้จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ) มีชื่อเล่นว่า อบูฮัฟสฺ ท่านสืบเชื้อสายมาจาก ตระกูลตะดียฺ จากเผ่ากุเรช ท่านเกิดหลังจากท่านนบีมูฮำหมัด 13 ปี ท่านได้รับการเลี้ยงดูให้มีความกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และพูดจริง
ท่านนบีมูฮำหมัด ประกาศศาสนาอิสลาม ท่านอุมัรเป็นผู้หนึ่งที่ต่อต้านอย่างรุนแรง และได้ทำร้ายต่อบรรดามุสลิม จนกระทั่งอัลเลาะห์ทรงเปิดหัวใจของท่านให้นับถือศาสนาอิสลาม ท่านจึงกลายเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องศาสนาอิสลาม และมุสลิมจากการทำร้ายของกาฟิร ลักษณะและอุปนิสัยของคอลีฟะห์อุมัร คอลีฟะห์อุมัรเป็นผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง มีผิวขาวปนแดง เสียงดังไม่ค่อยหัวเราะ อ้วนท้วม มีความเด็ดขาดและยุติธรรม มีสติปัญญาเฉียบแหลม รังเกียจความอธรรม ยืนหยัดในความจริง มีความบริสุทธิ์ในศาสนา การดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ เมื่อคอลีฟะห์อบูบักรป่วยลง ท่านได้เรียกบรรดาซอฮาบะห์ของท่านร่อซูล มาเพื่อปรึกษาหารือ ถึงผู้ที่จะดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์คนต่อไป ท่านได้เสนอให้ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์เนื่องจากว่าท่านอุมัร เป็นผู้ที่มีความเด็ดขาด มีความยุติธรรม ยืนหยัดอยู่กับความจริง และกลัวว่าจะเกิดความแตกแยกระหว่างมุสลิม บรรดาซอฮาบะห์ของท่านนบีมูฮำหมัด เห็นชอบด้วยที่จะให้ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านอบูบักร

ผลงานของ คอลีฟะห์อุมัร
ขยายการพิชิตอิรักและเปอร์เซีย
เมื่อพวกเปอร์เซียทราบว่าคอลีฟะห์อบูบักร ได้มีคำสั่งให้ท่านคอลิด อิบนุล วะลีด เดินทางไปยังกองทัพมุสลิมในประเทศชาม กิสรอ จักรพรรดิแห่งเปอร์เซียจึงระดมพลอย่างมากมาย เมื่อคอลีฟะห์อุมัรทราบข่าวเช่นนั้น ท่านจึงได้จัดกำลังทหารมุสลิมจำนวน 20,000 คน โดยแต่งตั้งให้ท่านซะอัด อิบนุอบีวักก้อซ เป็นแม่ทัพเพื่อทำสงครามกับทหารเปอร์เซีย
เมื่อกองทัพมุสลิมเดินทางปถึงป้อมอัลกอดิซียะห์ อยู่ใกล้กับเมืองกูฟะห์ ในประเทศอิรัก ก็พบกับกองกำลังทหารเปอร์เซีย ซึ่งมีผู้บัญชาการทัพชื่อ รุสตุม สนับสนุนด้วยช้างจำนวนมาก ท่านซะอัดจึงร้องตะโกนขึ้นว่า
“ อัลลอฮุอักบัร อัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่ ”
แล้วกำลังทหารมุสลิมก็บุกเข้าโจมตีกำลังทหารเปอร์เซีย ในตอนแรกกำลังทหารมุสลิม ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า ประสบความเพลี่ยงพล้ำ แต่พวกเขาก็ยืนหยัดต่อสู้ ขณะนั้น กำลังสมทบทหารมุสลิมจากประเทศชามภายใต้การบัญชาการของเกาะอฺกออฺ อิบนุอัมรฺ และอาซิมก็เดินทางมาถึง ในที่สุดฝ่ายมุสลิมก็ประสบกับชัยชนะ โดยสามารถสังหารรุสตุม ผู้บัญชาการกองทัพเปอร์เซีย และเหล่าทหารจำนวนมาก ส่วนที่เหลือก็หลบหนีไป สำหรับฝ่ายมุสลิมก็ได้สูญเสียทหารจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนี้ก็มีบุตรของนางคอนซาอฺ นักกวีมุสลีมะห์รวมอยู่ด้วย 4 คน เมื่อนางได้ทราบข่าว นางกล่าวว่า
“มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ผู้ทรงให้เกียรติแก่ฉัน โดยให้พวกเขาได้ตายชะฮีด ”
แล้วท่านซะอัด อิบนุอบีวักก้อซ ก็นำกองทัพมุสลิมรุกคืบหน้าไป จนสามารถยึดครองอิรักทั้งหมด พร้อมทั้งยึดครองเมืองมะดาอิน และพิชิตกรุงเยรูซาเล็ม กองทัพมุสลิมได้ทำการปิดล้อมเมืองนี้เป็นเวลา 4 เดือน จนกระทั่งชาวเมืองรู้สึกเบื่อหน่ายที่เฮราคลีอุส จักรพรรดิโรมันไม่ยอมส่งเสบียงมาให้ พวกเขาจึงยอมจำนนโดยมีเงื่อนไขว่า คอลีฟะห์อุมัร จะต้องเดินทางมารับกุญแจเมืองด้วยตนเอง ท่านอัมรฺ อิบนุอาศ จึงได้มีหนังสือไปแจ้งให้คอลีฟะห์อุมัรได้ทราบ คอลีฟะห์อุมัรจึงเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ในต้นปี ฮ.ศ.15- ค.ศ.635 โดยรับกุญแจเมือง แล้วเดินทางเข้าไปในเมือง พร้อมกับให้สัญญาว่า จะปฏิบัติกับชาวเมืองโดยดี

การพิชิตอียิปต์

ต่อจากนั้นอัมรฺ อิบนุอาศ ได้ขออนุญาตคอลีฟะห์อุมัร ในการพิชิตอียิปต์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ผู้ปกครองมีชื่อว่า มุเกาก้อส คอลีฟะห์อุมัร ก็อนุญาต อัมรฺ อิบนุอาศจึงได้พากองทัพมุสลิมเดินทางจากปาเลสไตน์ เข้าไปยังดินแดนอียิปต์ โดยพิชิตหัวเมืองต่างๆที่อยู่รายทาง อัมรฺ อิบนุอาศได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวอียิปต์ ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขามีความเกลียดชังต่อการปกครองของโรมันที่เต็มไปด้วย การกดขี่ข่มเหงและการขูดรีดภาษี
อัมรฺ อิบนุอาศ ได้นำกองทัพมุสลิมบุกไปในอียิปต์จนถึงป้อมบาบิลีโยน และได้ปิดล้อมอยู่ 2 เดือน จึงสามารถยึดครองได้ ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางต่อไปยังเมืองอเล็กซานเดรีย และพิชิตเมืองนี้ พร้อมกับบังคับให้มุเกาก้อส ผู้ปกครองอียิปต์ ทำสัญญาสงบศึกกับมุสลิม โดยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนากับพวกเขา แต่ก็มีชาวอียิปต์จำนวนไม่น้อย ที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม และอีกบางส่วนก็ยังคงนับถือศาสนาคริสต์ตามเดิม โดยที่พวกเขาต้องจ่ายภาษีส่วนบุคคลให้แก่ผู้ปกครองมุสลิม เพื่อตอบแทนที่ปกป้องพวกเขาจากการทำร้ายของผู้อื่น จึงทำให้ชาวอียิปต์ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความผาสุก ภายใต้การปกครองของมุสลิม

ผลงานทางด้านการพัฒนาของคอลีฟะห์อุมัร

การจัดตั้งหน่วยบริหารกิจการของรัฐ ท่านอุมัร อิบนุลคอฏฏอบ เป็นผู้ที่มีความพิถีพิถันในการคัดเลือกผู้ปกครองและข้าหลวงประจำเมืองต่างๆ ท่านกล่าวว่า :
“ผู้ใดที่แต่งตั้งให้ผู้หนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ เนื่องจากการเป็นญาติมิตร แท้จริงเขาได้บิดพลิ้วอัลเลาะห์ ร่อซูลของพระองค์ และบรรดามุมิน และผู้ใดที่แต่งตั้งคนชั่วเป็นเจ้าหน้าที่ เขาก็เท่ากับว่าเป็นคนชั่วเช่นเดียวกัน”
คอลีฟะห์อุมัรวางระเบียบการบริหารรัฐ แต่งตั้งตุลาการ ได้ทำหน้าที่ตรวจตราความสงบเรียบร้อย และประชาราษฎ์ในยามค่ำคืน และมีการสร้างเมืองฟุสฏอฏ ในอียิปต์ เมืองกูฟะห์ และบัศร์ ในยุคของท่าน
คอลีฟะห์อุมัรได้แบ่งการบริหารอาณาจักรอิสลามที่กว้างขวาง ออกเป็นมณฑล และแต่งตั้งข้าหลวงประจำมณฑลทำหน้าที่บริหารงานแทนคอลีฟะห์
นอกจากนั้น คอลีฟะห์อุมัร ยังได้จัดตั้งสำนักงานบัญชีกลาง เพื่อทำการบันทึกรายได้ รายจ่ายของรัฐ สำนักงานทะเบียนข้าราชการทหาร สำนักงานทะเบียนรายได้ทางด้านภาษีที่ดิน จัดวางระบบอัตราภาษี การลดหน่วยภาษี พร้อมยังได้ออกประกาศ โดยให้ความเสมอภาคแก่บุคคลทุกคนทั้งทางด้านสิทธิและหน้าที่ โดยยกเลิกสิทธิพิเศษ ซึ่งโรมันเคยให้แก่บุคคลบางคน สิ่งที่บ่งบอกถึงความยุติธรรมของท่าน คือคำพูดของท่านแก่คณะผู้แทน ที่เดินทางไปพบท่านที่เมืองมะดีนะห์ว่า :
“ฉันมิได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของฉัน เพื่อเฆี่ยนตีพวกท่าน และยึดเอาทรัพย์สินของพวกท่านโดยมิชอบ แต่ว่าฉันได้แต่งตั้งพวกเขา เป็นผู้สั่งสอนคัมภีร์ของพระเจ้าของพวกท่าน และซุนนะห์ของนบีของพวกท่าน ดังนั้น ผู้ใดที่เจ้าหน้าที่ของเขาประพฤติมิชอบกับเขา เขาต้องฟ้องร้องมายังฉัน”
คอลีฟะห์อุมัร เป็นผู้กำหนดฮิจเราะห์ศักราช โดยบรรดามุสลิมนับถือศักราชอิสลาม ตั้งแต่วันที่ท่านนบีมูฮำหมัด ได้อพยพจากเมืองมักกะห์ไปยังเมืองมะดีนะห์ ท่านได้ให้กำเนิดระบบไปรษณีย์ โดยให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ นำหนังสือของคอลีฟะห์ไปมอบให้แก่ข้าหลวงประจำมณฑลต่างๆ และนำหนังสือของข้าหลวงประจำมณฑลมามอบให้แก่คอลีฟะห์

อุปนิสัยของคอลีฟะห์อุมัร

คอลีฟะห์อุมัร ได้รับฉายานามว่า “อัลฟารุก” หมายถึง ผู้จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ทั้งนี้เนื่องจากการนับถือศาสนาอิสลามของท่าน ได้ทำให้ศาสนาอิสลามและบรรดามุสลิมมีความเข้มแข็ง มีเกียรติภูมิ ท่านเป็นผู้ที่มีความยุติธรรม มีความกล้าหาญ ไม่มีความกลัวในการพูดความจริง ท่านเป็นผู้ที่เอาใจใส่ในสภาพความเป็นอยู่ของบรรดามุสลิม โดยตรวจตราดูทุกข์สุข ของพวกเขาทั้งกลางวัน และกลางคืน
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกความยุติธรรมของคอลีฟะห์อุมัรไว้ ซึ่งเป็นบทเรียนแก่ผู้ปกครองรุ่นหลัง กล่าวคือ
คนผู้แทนของกิสรอ ผู้ปกครองเปอร์เซีย ได้เดินทางมายังเมืองมะดีนะห์ เพื่อจะได้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคอลีฟะห์อุมัร และบรรดามุสลิม เมื่อเดินทางมาถึงเมืองมะดีนะห์ ก็ถามหาคอลีฟะห์อุมัร ประชาชนทั้งหลายบอกว่า ท่านอยู่นอกเมือง คณะผู้แทนของกิสรอ จึงออกไปค้นหาคอลีฟะห์อุมัร ก็เห็นว่าท่านนอนอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้ เมื่อพวกคณะผู้แทนเปอร์เซีย เห็นสภาพความเป็นอยู่แบบสมถะ ของท่านอุมัร พวกเขากล่าวว่า :
“ นี่คือ สภาพของผู้ชายที่บรรดากษัตริย์ทั้งหลายต่างเกรงขาม ท่านเป็นผู้ยุติธรรม ดังนั้นท่านจึงปลอดภัย ดังนั้น ท่านจงนอนหลับให้สบายเถิด”
คอลีฟะห์อุมัรมีรูปร่างสูงใหญ่ อ้วนท้วม ผิวขาว มีเสียงดัง ไม่ค่อยหัวเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเข้มงวดในเรื่องการอธรรม มีความเด็ดขาดเกี่ยวกับความจริง มีความบริสุทธิ์ใจในศาสนา
การถึงแก่กรรมของคอลีฟะห์อุมัร
ขณะที่คอลีฟะห์อุมัรเป็นอิมามนะละหมาดซุบฮิ ในตอนเช้าของวันหนึ่ง อบู ลุลุอะห์ ซึ่งเป็นผู้บูชาไฟ และเป็นคนใช้ของมุฆีเราะห์ อิบนุชวะยะห์ ได้เข้ามาแทงท่าน ทำให้ท่านล้มลง ท่านจึงได้ใช้ให้ท่านอับดุลเราะห์มาน อิบนุอาฟ นำละหมาดต่อไปจนเสร็จ แล้วท่านกล่าวว่า :
“ไม่มีตำแหน่งใดในอิสลาม สำหรับผู้ที่ละทิ้งละหมาด”
บรรดามุสลิมได้หามท่านอุมัร ซึ่งมีเลือดไหลนอง เข้าไปในบ้านของท่าน เพื่อทำการทำแผล เนื่องจากอาการของท่านสาหัสมาก จึงถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา ก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรม ท่านรู้ว่าผู้ที่ฆ่าท่านไม่ใช่มุสลิม ท่านจึงกล่าวว่า :
“มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ โดยที่ผู้ที่ฆ่าฉัน ไม่ใช่ผู้ที่สูญูดต่ออัลเลาะห์”
ท่านถึงแก่กรรมโดยมีอายุได้ 63 ปี ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์เป็นเวลา 10 ปี 6 เดือน และท่านถูกฝังเคียงข้างคอลีฟะห์อบูบักร อัซซิดดิ๊ก
วัสสลาม

ที่มา : หลักสูตรอิสลามศึกษา     โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมีนีน